วันที่นำเข้าข้อมูล 25 Mar 2025
วันที่ปรับปรุงข้อมูล 25 Mar 2025
No. 5/2568 | มีนาคม 2568
การขยายอำนาจและอิทธิพลทางทะเล: ไครเมีย ทะเลจีนใต้ และทะเลแทสมัน
ธนวัฒน์ สมจิตร*
(Download .pdf below)
ท้องทะเลมีพื้นที่ร้อยละ 75 ของพื้นผิวโลกตั้งแต่การกำเนิดของโลก มีการจินตนาการว่าเป็นพื้นที่ไกลโพ้นเข้าถึงได้ยาก อีกทั้งยังเป็นพื้นที่แทบจะไม่ปรากฏการทำกิจกรรมทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมมากนักเมื่อเทียบกับพื้นที่บนบกหรือแผ่นดิน ซึ่งการทำกิจกรรมบนบกจะเกิดขึ้นจาก นโยบาย กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับและหลักปฏิบัติ เพื่อให้เกิดการควบคุม การครอบครอง การตั้งถิ่นฐานและที่อยู่อาศัยอย่างสงบเรียบร้อย อีกทั้งทะเลยังเป็นพื้นที่ที่มีสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ และเต็มไปด้วยอุปสรรค อาทิ พายุ คลื่นลมที่แปรปรวน และไม่มีแหล่งน้ำจืด ด้วยเหตุนี้จึงมีแนวความคิดว่าทะเลเป็น “พื้นที่นอกเหนืออธิปไตย” หรือ “พื้นที่ที่อยู่เหนือสังคมมนุษย์” อย่างไรก็ตามทะเลยังคงมีบทบาทสำคัญต่อมนุษย์มาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ทะเลเป็นเส้นทางคมนาคม และเส้นทางเดินเรือที่ช่วยให้มนุษย์ขยายอาณาเขตอธิปไตยผ่านเรือที่ชักธงสัญชาติ หรือ Flag State ของรัฐตนเองไปทั่วโลก อีกทั้งทะเลยังเป็นพื้นที่สำหรับการค้าขาย การสื่อสาร และการประมง เป็นเวทีของการแข่งขันทางการเมืองและความขัดแย้งระหว่างรัฐกับจักรวรรดิ อนึ่งทะเลยังมีบทบาทสำคัญในการขยายอำนาจของลัทธิล่าอาณานิคมของยุโรป ด้วยเหตุนี้แทนที่ทะเลจะเป็นพื้นที่ว่างเปล่าปราศจากกฎระเบียบหรือสังคมใด ๆ ทะเลกลับกลายเป็นศูนย์กลางของกิจกรรมทางสังคมและการเมือง ซึ่งในเวลาต่อมาได้นำไปสู่แนวความคิดเรื่อง “ความมั่นคงทางทะเล” มาจนกระทั่งในปัจจุบัน
ปรัชญาทางทะเลมีพื้นฐานจากแนวความคิดเรื่อง mare liberum หรือ “เสรีภาพทางทะเล” (ภาพที่ 1 ) ซึ่งมองว่าทะเลเป็นพื้นที่ไม่มีรัฐ หรือองค์กรระหว่างประเทศใดสามารถครอบครองหรือควบคุมโดยอำนาจทางการเมืองได้ แนวคิดนี้มีรากฐานจากงานเขียน mare liberum[1] ของฮูโก โกรเทียสใน ค.ศ. 1609 ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของเสรีภาพในการเดินเรือเพื่อการค้าและการเดินเรือระหว่างประเทศหรือแม้แต่การใช้ทะเลในสภาวะสงคราม คู่สงครามและประเทศที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องพึงระลึกถึงสิทธิและเสรีภาพการเดินเรือ และการบินบริเวณน่านฟ้าสากล ตามแนวคิดนี้ทะเลจึงเป็นพื้นที่ที่ไม่ควรมีอุปสรรคหรือข้อจำกัดในการสัญจรทางทะเลและทางอากาศ รวมถึงการใช้ทรัพยากรได้อย่างเสรีโดยไม่มีรัฐใดควบคุมเป็นพิเศษ ประเด็นเสรีภาพการเดินเรือนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งโดยเฉพาะในทะเลหลวง และการใช้เส้นทางเดินเรือบริเวณช่อแคบ หรือ International Transit Passage[2] เช่น ช่องแคบมะละกา ทอเรส ฮอร์มุส ลอมบอก และซุนดา เป็นต้น ซึ่งพื้นที่เหล่านี้เป็นจุดยุทธศาสตร์เส้นทางการเดินเรือที่สำคัญสำหรับการค้าโลก รวมถึงสิทธิการผ่านโดยสุจริตของเรือต่าง ๆ บริเวณพื้นที่ทะเลอาณาเขตตามหลัก Innocent Passage[3] ตราบเท่าที่เรือต่าง ๆ ที่ใช้สิทธิการผ่านโดยสุจริตไม่เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงและสันติภาพอันดีของรัฐชายฝั่งนั้น อนึ่งเมื่อกล่าวถึงเสรีภาพในการเดินเรือในทะเลหลวงแล้วนั้น High Seas ยังเป็นพื้นที่ปราศจากอำนาจอธิปไตยของรัฐใด ๆ ซึ่งทุกประเทศมีสิทธิเสรีภาพในการเดินเรือ การทำประมง การวางสายเคเบิลใต้ทะเล และสามารถบินผ่านได้อย่างเสรี[4]
ภาพที่ 1 แนวความคิด mare liberum หรือ “เสรีภาพทางทะเล”
ที่มา: The Freedom of the Seas (Mare Liberum) by Hugo Grotius - Vintage Historical Poster by Jan B. Heukelom c.1915
ในส่วนการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทางทะเลในทะเลหลวงนั้น รัฐต่าง ๆ ยังคงมีสิทธิและเสรีภาพโดยไม่ถูกจำกัดโดยอำนาจอธิปไตยจากรัฐอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าแนวความคิดเสรีภาพทางทะเลจะสนับสนุนการใช้ทะเลได้อย่างเสรี แต่ก็ต้องใช้ดุลยพินิจและคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพการใช้ทะเลของรัฐอื่น ๆ อย่างไรก็ตามแม้ว่ารัฐต่าง ๆ มีเสรีภาพในการเดินเรือตามแต่ละอาณาเขตทางทะเลตามที่อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ.1982 (UNCLOS 1982) ได้กำหนดขึ้น รัฐต่าง ๆ ยังคงมีพันธกรณีที่จะต้องคุ้มครองและรักษาสิ่งแวดล้อมทางทะเล เพื่อป้องกันและควบคุมภาวะมลพิษในเวลาเดียวกัน แม้ว่าแนวความคิดเรื่องเสรีภาพทางทะเลจะดำรงอยู่มาอย่างยาวนาน แต่ก็ถูกท้าทายจากภัยคุกคามทางทะเลที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นการละเมิดเสรีภาพทางทะเลจากการทำการอันเป็นโจรสลัด การโจมตีเรือพาณิชย์ในช่วงสงคราม และการขยายอำนาจอธิปไตยของรัฐมหาอำนาจจากการใช้ขีดความสามารถทางทหารเหนือเขตน่านน้ำของรัฐชายฝั่งและทะเลหลวง เช่น การผนวกดินแดนทางบกเพื่อนำไปสู่การขยายอำนาจอธิปไตยทางทะเล (กรณีผนวกดินแดนไครเมีย) การอ้างสิทธิเหนืออาณาเขตทางทะเลกรณีพิพาทบริเวณทะเลจีนใต้ (Grey Zone Operations) การฝึกและซ้อมรบทางทหารในทะเลหลวง (กรณีเรือรบจีนฝึกอาวุธทางทะเลแทสมัน) โดยไม่คำนึงถึงเสรีภาพการใช้ทะเลของรัฐอื่น ๆ
แนวความคิดการจำกัดพื้นที่การใช้ทะเลจากการกำหนดอาณาเขตทางทะเลหรือ Closed Seas ของรัฐชายฝั่งนั้นเป็นแนวความคิดที่สวนทางกับการมีเสรีภาพการใช้ทางทะเล โดยยอมรับว่าการใช้อำนาจอธิปไตยควบคุมและบริหารจัดการทะเลจากการใช้อำนาจและสิทธิอธิปไตยที่เกิดจากการกำหนดเขตอำนาจทางทะเลเช่นเดียวกับการกำหนดหลักดินแดนและอำนาจอธิปไตยบนบกเป็นแนวความคิดทางกฎหมายที่เรียกว่า mare clausum หรือ “อธิปไตยทางทะเล (Territory)”[5] ได้เริ่มปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนจากความตกลงสนธิสัญญา Tordesillas ค.ศ. 1494 โดยการที่โปรตุเกสและสเปนตัดสินใจตกลงร่วมกันที่จะแบ่งดินแดนทางทะเลออกเป็น 2 ส่วน เพื่อแสดงเขตอธิปไตยที่ตนเองครอบครองอยู่ให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น โดยปัจจุบันแนวคิดการกำหนดเขตแดนทางทะเลสะท้อนผ่านการกำหนดสิทธิและการแย่งชิงการเข้าถึงทรัพยากรจากการขยายอิทธิพลและการควบคุมพื้นที่ทางทะเล เพื่อจำกัดการเข้าถึงและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทางทะเล เช่น เสรีภาพการเดินเรือ การทำประมง การเข้าถึงแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ เป็นต้น การขยายอำนาจอธิปไตยเหนืออาณาเขตทางทะเลของรัฐชายฝั่งที่เกิดขึ้นมาตลอดทำให้เกิดข้อถกเถียงกันว่าทะเลควรมีการควบคุมและกำหนดอำนาจอธิปไตยมากน้อยเพียงใดจึงจะเหมาะสม แม้ว่าการประชุมองค์การสหประชาชาติที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายทะเลที่เกิดขึ้นทั้ง 3 ครั้งเสร็จสิ้นลงจนทำให้เกิด UNCLOS 1982[6] ได้กำหนดกรอบอำนาจ หน้าที่ และสิทธิอธิปไตยของทั้งรัฐชายฝั่งและรัฐอื่น ๆ ประกอบด้วย การกำหนดเขตแดนทางทะเลที่ชัดเจน การดำเนินการที่เกี่ยวกับกิจกรรมทางทะเลและมหาสมุทร เช่น การแสวงหาประโยชน์ทางทะเล การบริหารจัดการและอนุรักษ์สิ่งมีชีวิตในทะเลหลวง และการระงับข้อพิพาททางทะเลระหว่างรัฐต่าง ๆ[7]
การผนวกดินแดนทางบกเพื่อนำไปสู่การขยายอำนาจอธิปไตยทางทะเลในกรณีไครเมีย
การกำหนดเขตแดนและอำนาจอธิปไตยทางทะเลตามที่ UNCLOS1982 ได้กำหนดไว้แล้ว ปัจจุบันยังคงมีรัฐชายฝั่งที่มีเจตนาที่จะขยายอำนาจและอิทธิพลทางทะเลของตนเองขึ้นใหม่ด้วยวิธีการครอบครองดินแดนทั้งทางบกและทางทะเลด้วยกำลังทางทหารและกำลังทางเรือโดยจากกรณีศึกษาที่น่าสนใจที่เกิดขึ้นจากการผนวกดินแดนไครเมียโดยรัสเซียใน ค.ศ. 2014 ที่เกิดขึ้นจากการพิพาทกันระหว่างรัสเซียกับยูเครน การผนวกดินแดนครั้งนั้นไม่เพียงแต่เป็นการยึดและครอบครองดินแดนและอธิปไตยทางบกเท่านั้น แต่ยังนำไปสู่การขยายอำนาจอธิปไตยทางทะเลในทะเลดำ (Black Sea) และทะเลอะซอฟ (Sea of Azov) อีกด้วย การเปลี่ยนแปลงเขตแดนทางทะเลหลังการผนวกดินแดนไครเมียครั้งนั้นส่งผลทำให้รัสเซียถือโอกาสอ้างสิทธิอำนาจอธิปไตยเหนือเขตแดนทางทะเลชายฝั่งไครเมียจึงส่งผลกระทบต่ออำนาจอธิปไตยและสิทธิทางทะเลของยูเครนซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่อยู่เดิม โดยเฉพาะในพื้นที่ทะเลอาณาเขต เขตเศรษฐกิจจำเพาะ (EEZ) และไหล่ทวีป โดยรัสเซียสามารถอ้างสิทธิเหนือแหล่งพลังงานในทะเลดำที่เคยอยู่ภายใต้การควบคุมของยูเครน ในส่วนของทะเลอะซอฟนั้นรัสเซียก็สามารถควบคุมเส้นทางเดินเรือที่สำคัญ เช่น ช่องแคบเคิร์ช มาจนกระทั่งปัจจุบัน[8] ยิ่งไปกว่านั้นรัสเซียเคยยืนยันการมีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนทางทะเลที่เกิดจากการผนวกไครเมียด้วยการใช้กำลังทางอากาศ และเรือติดอาวุธไล่ติดตามและผลักดันเรือรบของสหราชอาณาจักร HMS Defender เนื่องด้วยรัสเซียกังวลว่าการเดินทางผ่านทะเลอาณาเขตของเรือรบสหราชอาณาจักรในเวลานั้นจะเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงและสันติภาพของรัสเซีย อย่างไรก็ตามเรือรบ HMS Defender ได้ยืนยันสิทธิการเดินเรือด้วยการผ่านโดยสุจริตบริเวณพื้นที่ทะเลอาณาเขตบนพื้นฐานกฎหมายระหว่างประเทศ และ UNCLOS1982 ซึ่งในอดีตเคยเป็นพื้นที่ทะเลอาณาเขตของยูเครน (ไครเมีย) มาก่อน ประกอบกับการแสดงออกของประชาคมโลกและประเทศแถบตะวันตกที่ไม่ยอมรับการได้มาซึ่งอำนาจอธิปไตยทางทะเลของรัสเซียโดยมิชอบจากการผนวกดินแดนทางบกด้วยการใช้กำลังทางทหารและการบีบบังคับทางการเมืองซึ่งขัดต่อหลักการกฎหมายระหว่างประเทศและกฎบัตรสหประชาชาติ (ภาพที่ 2)
ภาพที่ 2 การผลักดดันเรือรบ HMS Defender นอกชายฝั่งทะเลไครเมีย
ที่มา: https://www.lindaikejisblog.com/index.php/2021
การขยายอำนาจและอิทธิพลในทะเลจีนใต้
กรณีพิพาทในทะเลจีนใต้ระหว่างจีนกับประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคอินโด – แปซิฟิก สะท้อนให้เห็นถึงปฏิบัติการทางเรือในพื้นที่พิพาทที่เปลี่ยนแปลงไปโดยการใช้กลยุทธ์ Grey Zone Operations ของจีน ซึ่งนักวิชาการจากวิทยาลัยการทัพบกสหรัฐฯ ได้ให้คำนิยามการปฏิบัติการสีเทาว่าเป็น “กิจกรรมหรือปฏิบัติการที่เกิดขึ้นระหว่างสภาวะสงครามและยามสงบ โดยใช้วิธีการที่ไม่เข้าข่ายการทำสงครามเต็มรูปแบบ (conventional warfare) แต่มีเป้าหมายเพื่อบรรลุผลทางยุทธศาสตร์หรือการเมือง” วิธีการเหล่านี้มักเกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นทางการ เช่น การบ่อนทำลาย (subversion) การกดดันทางเศรษฐกิจ การใช้กำลังแบบจำกัด และการบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร[9] ในบริบทของความมั่นคงทางทะเล Grey Zone Operations หมายถึงการใช้ยุทธวิธีทางทะเลที่ไม่ได้เป็นการเผชิญหน้าทางทหารโดยตรง แต่ใช้กำลังทางเรืออย่างไม่เป็นทางการ หรือการใช้กำลังรบนอกแบบ (irregular maritime forces) เพื่อบรรลุเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ทางทะเลในพื้นที่พิพาท
James Holmes และ Toshi Yoshihara นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านยุทธศาสตร์ทางทะเลได้อธิบายกลยุทธ์ Grey Zone Operations ทางทะเลว่าเป็นเครื่องมือของรัฐมหาอำนาจในการขยายอิทธิพลผ่านกองกำลังที่ไม่ใช่กองทัพโดยตรง เช่น กองเรือประมงติดอาวุธหรือหน่วยยามฝั่ง ตัวอย่างกรณีของจีนได้นำแนวทางการปฏิบัติการสีเทานี้มาปฏิบัติการในทะเลจีนใต้ โดยใช้กองเรือประมง และกองกำลังติดอาวุธทางทะเล (Maritime Militia) ทำหน้าที่เป็นกองกำลังตัวแทน (Proxy Forces) การใช้กำลังกองทัพเรือ ทั้งนี้ วิธีการนี้จะช่วยให้จีนสามารถกดดันรัฐคู่พิพาทได้ทั้งในยามสงบและสภาวะที่มีความขัดแย้ง เพื่อลดความเสี่ยงจากการเผชิญหน้าทางทหารโดยตรง[10] นอกจากการใช้กองเรือประมงผิดกฎหมายแล้วหน่วยยามฝั่งก็เป็นอีกเครื่องมือสนับสนุนการอ้างสิทธิเหนือพื้นที่พิพาท โดยหลีกเลี่ยงการปฏิบัติการทางทหาร การใช้วิธีบีบบังคับที่ไม่เข้าข่ายการทำสงคราม จึงทำให้เกิดความคลุมเครือทางกฎหมาย และส่งผลต่อเสถียรภาพของกฎระเบียบด้านความมั่นคงทางทะเลในเวทีระหว่างประเทศ เช่น กรณีการเผชิญหน้ากันระหว่างหน่วยยามฝั่งจีนกับฟิลิปปินส์ที่ใช้การฉีดน้ำแทนการใช้กำลังอาวุธทางเรือต่อกันโดยที่การใช้ปืนฉีดน้ำขนาดใหญ่ทำได้เพียงทำให้บาดเจ็บไม่รุนแรงระหว่างการประทะของทั้ง 2 ประเทศและยังเป็นการยืนยันถึงความเป็นเจ้าของอาณาเขตทางทะเล กับสิทธิอธิปไตยที่ต่างก็อ้างสิทธิกันไว้ในพื้นที่พิพาท จากเหตุการณ์การประทะกันระหว่างทั้ง 2 ประเทศยังคงส่งผลให้ประเทศพิพาทและประเทศที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องได้รับรู้ถึงการปฏิเสธการเข้าพื้นที่พิพาทที่เกิดจากการอ้างในกรรมสิทธิ์เหนืออาณาเขตทางทะเลของแต่ละฝ่ายอย่างชัดเจน (ภาพที่ 3)
ภาพที่ 3 การใช้ปืนใหญ่ฉีดน้ำระหว่างจีนกับฟิลิปปินส์บริเวณพื้นที่พิพาททะเลจีนใต้
ที่มา: https://asia.nikkei.com/Politics/International-relations/South-China-Sea/China-fires-water-cannons-at-Philippine-ships-in-South-China-Sea
กลยุทธ์การปฏิบัติการสีเทาของจีนในทะเลจีนใต้เป็นส่วนช่วยขยายอำนาจและอิทธิพลทางทะเลในภูมิภาค ผ่านการสร้างเกาะเทียมและการก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกทางทหารแห่งใหม่ นอกจากนี้ จีนยังใช้หน่วยงานยามฝั่งและกองเรือประมงเป็นเครื่องมือในการยืนยันสิทธิเหนือดินแดนพิพาท พร้อมทั้งทำการขัดขวางและสกัดกั้นการอ้างสิทธิของประเทศอื่น ๆ จากการเลือกใช้ยุทธวิธีสีเทาเหล่านี้เปรียบเสมือนว่าจีนกำลังท้าทาย และทดสอบขีดจำกัดของกฎหมายระหว่างประเทศและฉันทมติ UNCLOS 1982 ที่มีเจตนารมณ์ให้รัฐต่าง ๆ สามารถแสวงหาทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรมที่รัฐต่าง ๆ สามารถเข้าถึงได้ โดยเจตนารมณ์การใช้ประโยชน์ทางทะเลนั้นได้ริเริ่มจากการจัดการประชุม UNCLOS ครั้งที่ 1 ใน ค.ศ. 1958 จนกระทั่งมีการบังคับใช้ UNCLOS1982 มาแล้วมากกว่า 40 ปี ดังนั้นปฏิบัติการสีเทาทางทะเลของจีนจึงเป็นการสร้างธรรมเนียมปฏิบัติทางทะเลระหว่างประเทศขึ้นใหม่จากการขยายอำนาจและอิทธิพลสำหรับครอบครองพื้นที่พิพาทอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการละเมิดความชอบธรรมและยังจำกัดเสรีภาพทางทะเลของประเทศที่มีอาณาเขตทางทะเลในพื้นที่ทะเลจีนใต้[11]
การซ้อมรบทางทหารและการทดสอบอาวุธในทะเลหลวงในกรณีทะเลแทสมัน
การซ้อมรบทางทหารและการทดสอบอาวุธในทะเลหลวง และเขตเศรษฐกิจจำเพาะ (Exclusive Economic Zone: EEZ) เป็นหนึ่งในประเด็นข้อพิพาทภายใต้ UNCLOS 1982 จะรับรองเสรีภาพในการเดินเรือทั้งในทะเลหลวงและ EEZ โดยมีข้อจำกัดบางประการสำหรับพื้นที่ EEZ แต่ไม่มีบทบัญญัติที่ชัดเจนว่าเสรีภาพในการเดินเรือนั้นได้รวมถึงสิทธิของเรือรบในการซ้อมรบหรือทดสอบอาวุธ อย่างไรก็ตาม UNCLOS 1982 ยังคงกล่าวถึงสิทธิของรัฐชายฝั่งในการซ้อมรบทางทหารภายในทะเลอาณาเขต (Territorial Sea) ของตนเอง ซึ่งรัฐชายฝั่งมีอำนาจอธิปไตยโดยสมบูรณ์ แต่ไม่ได้กำหนดสิทธิของรัฐชายฝั่งหรือรัฐอื่น ๆ ในการดำเนินการซ้อมรบหรือทดสอบอาวุธในเขตทางทะเลอื่นๆ เช่น EEZ หรือ ทะเลหลวง[12] อย่างไรก็ตามหลักการสิทธิเสรีภาพการใช้ทะเลหลวงเป็นหลักการจารีตประเพณีระหว่างประเทศโดยกรณีเรือรบสามารถใช้เสรีภาพในการปฏิบัติการทางทหารได้ทั้งในยามสงบ และสภาวะสงครามไม่ว่าจะเป็นยุทธศาสตร์การป้องกันและการรุกทางเรือ[13] แม้ว่าในทางทฤษฎีหลักการได้กำหนดแนวทางไว้ว่าการปฏิบัติการทางเรือทั้งของเรือรบ เรืออื่น ๆ และอากาศยานจะต้องเป็นไปด้วยวัตถุประสงค์เพื่อความสงบสุขและสันติ ซึ่งการอนุญาต หรือการห้ามการปฏิบัติการทางทหารในทะเลหลวงก็ยังไม่มีความชัดเจนจนกระทั่งปัจจุบัน[14]
UNCLOS 1982 กำหนดให้รัฐที่ดำเนินการทดสอบอาวุธในทะเลหลวงต้องคำนึงถึงผลประโยชน์แห่งชาติของรัฐอื่น ๆ (“due regard to the interests of other states”) ซึ่งหมายความว่า หากมีการซ้อมรบหรือทดสอบอาวุธในทะเลหลวง เรือของรัฐนั้น ๆ ควรมีการประกาศ “เขตห้ามเข้าเป็นการชั่วคราว” (Temporary Exclusion Zone: TEZ) ตามช่องทางการเดินเรือ และการเดินอากาศสากล เพื่อป้องกันอันตรายต่อการเดินเรือและการบินในพื้นที่[15] นอกจากนี้ การทดสอบอาวุธจะต้องเป็นไปตาม Part XII ของ UNCLOS 1982 กำหนดซึ่งว่าด้วยการคุ้มครองและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเล โดยรัฐที่มีอำนาจเหนือเรือรบของตน (Flag State Duty) [16]ต้องรับผิดชอบต่อผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้นจากกิจกรรมเหล่านั้น
แม้ว่า UNCLOS 1982 ไม่ได้ระบุขอบเขตทางกฎหมายของการซ้อมรบหรือการทดสอบอาวุธในทะเลหลวงและ EEZ อย่างชัดเจน แต่รัฐต่าง ๆ ยังคงสามารถดำเนินกิจกรรมเหล่านี้ได้ โดยจะต้องคำนึงถึงเสรีภาพในการเดินเรือและการบินของรัฐอื่น ๆ ตลอดจนจะต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มงวด อย่างไรก็ตามการฝึกซ้อมรบและการทดสอบอาวุธในทะเลยังคงเกิดขึ้นอยู่เสมอ โดยมักเป็นการแสดงแสนยานุภาพทางทหารและขยายอิทธิพลทางทะเลไปยังพื้นที่ยุทธศาสตร์ต่าง ๆ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของขาติทางทะเลของประเทศตนเอง ซึ่งอาจสร้างความตึงเครียดในภูมิภาคและเป็นอันตรายต่อรัฐที่ใช้ทะเลและห้วงอากาศร่วมกัน เช่นกรณีการฝึกซ้อมรบและทดสอบอาวุธของกองทัพเรือจีนในทะเลหลวงบริเวณพื้นที่ระหว่างเครือรัฐออสเตรเลียกับนิวซีแลนด์มีระยะทางห่างจากชายฝั่งนคร Adelaide โดยประมาณ 400 Nm การทดสอบอาวุธดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการเดินเรือและการบินบริเวณน่านฟ้าเครือรัฐออสเตรเลียโดยรวม จนทำให้มีบางสายการบินต้องเปลี่ยนเส้นทางกะทันหัน เพื่อหลีกเลี่ยงอัตรายที่อาจเกิดจากความผิดพลาดและอุบัติเหตุที่เกิดจากการทดสอบอาวุธทางทะเลโดยไม่เจตนาได้ (ภาพที่ 4)
ภาพที่ 4 การฝึกซ้อมการยิงอาวุธทางทะเลของ กองทัพเรือจีน
ที่มา: https://www.facebook.com/100044141844026/photos/1177552757059441/?rdr
แนวคิดเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพทางทะเลได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่องจากแนวความคิด mare liberum ที่เน้นเสรีภาพในการเดินเรือไปสู่แนวความคิด mare clausum ที่ต้องการกำหนดอาณาเขตทางทะเลเพื่อให้เกิดการยอมรับอำนาจอธิปไตยของรัฐชายฝั่ง เช่นเดียวกับแนวความคิดผลประโยชน์ร่วมทางทะเลหรือ common maritime interests ที่มองว่าทะเลเป็นสมบัติร่วมของมนุษยชาติโดยที่ทุกรัฐมีสิทธิเข้าถึงทรัพยากรได้อย่างเท่าเทียมกันที่กำลังเผชิญความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น การผนวกดินแดนทางบก (ไครเมีย) โดยมิชอบเพื่อขยายอำนาจอธิปไตยและอาณาเขตทางทะเล การอ้างสิทธิเหนือพื้นที่พิพาททะเลจีนใต้ในพื้นที่อินโด-แปซิฟิก การซ้อมรบและการทดสอบอาวุธทางทะเล โดยการใช้ปฏิบัติการสีเทาหรือ Grey Zone Operations ปฏิบัติการที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ได้ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพและความมั่นคงทางทะเลมาโดยตลอด แม้ว่า UNCLOS 1982 จะพยายามรักษาสมดุลระหว่างเสรีภาพในการเดินเรือ อำนาจอธิปไตยของรัฐ กับการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม แต่ยังคงมีช่องว่างด้านกฎหมายที่รัฐมหาอำนาจนำไปใช้เป็นประโยชน์เพื่อขยายอำนาจ และอิทธิพลทางทะเลอยู่ได้ ดังนั้นแนวทางแก้ไขที่เป็นไปได้ คือ การเสริมสร้างกลไกความร่วมมือระหว่างประเทศผ่านองค์กรทางทะเล เช่น IMO และ กระบวนการอนุญาโตตุลาการกฎหมายทะเลระหว่างประเทศ หรือ ITLOS เพื่อบังคับใช้กฎหมายทะเลอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการส่งเสริมมาตรการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างรัฐ เช่น ข้อตกลงการลดความเสี่ยงจากการเผชิญหน้าทางทหารและการกำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนสำหรับกิจกรรมทางทะเลบนพื้นฐานกฎหมายระหว่างประเทศ นอกจากนี้การบริหารจัดการทะเลหรือ ocean governance ในฐานะเป็นสมบัติร่วมกันของมวลมนุษยชาติควรได้รับการสนับสนุนผ่านกรอบความร่วมมือที่ส่งเสริมผลประโยชน์ร่วมกัน เพื่อป้องกันข้อพิพาทและรักษาเสถียรภาพความยั่งยืนของมหาสมุทรในระยะยาวในอนาคตต่อไป
[1] Christian Bueger and Timothy Edmunds, Understanding Maritime Security (Oxford: Oxford University Press, 2024), 13.
[2] Ibid.
[3] UNCLOS 1982, Article 17.
[4] Ibid, Article 87.
[5] Ibid 2, p.13.
[6] United Nations, United Nations Convention on the Law of the Sea (UNCLOS), 1982, UN Doc. A/CONF.62/122 (New York: United Nations, 1982).
[7] UNCLOS 1982.
[8] Pavlo Pushkar, "The Impact of Crimea's Annexation on the Legal Framework of the Black Sea and the Sea of Azov" (2015).
[9] Michael J. Mazarr, Mastering the Gray Zone: Understanding a Changing Era of Conflict (Carlisle, PA: U.S. Army War College Press, 2015).
[10] James Holmes and Toshi Yoshihara, Red Star over the Pacific: China's Rise and the Challenge to U.S. Maritime Strategy, 2nd ed. (Annapolis, MD: Naval Institute Press, 2018).
[11] Christian Bueger and Timothy Edmunds, Understanding Maritime Security (Oxford: Oxford University Press, 2024).
[12] Donald R. Rothwell and Tim Stephens, The International Law of the Sea, 2nd ed. (Oxford: Hart Publishing, 2010), 279–80.
[13] Zhen Sun, Finding a Balance in the Exclusive Economic Zone: Conflict and Stability in the Law of the Sea (Cambridge: Cambridge University Press, World Maritime University, 2025), 203.
[14] Ibid.
[15] Ibid.
[16] UNCLOS 1982, Article 94.
[*] นาวาเอก ธนวัฒน์ สมจิตร หัวหน้ากลุ่มการฝึกต่างประเทศ ศรชล. รับราชการในกองทัพเรือมามากกว่า 24 ปีและมีโอกาสได้ไปศึกษาต่อระดับปริญญาโท สาขา Maritime Policy ณ ศูนย์ ANCORS มหาวิทยาลัยวูลองกอง เครือรัฐออสเตรเลีย กับศึกษาหลักสูตร Executive Diploma in Strategic and Defence Studies at UPNM Malaysia อีกทั้งยังได้รับการคัดเลือกเข้าศึกษาต่อหลักสูตร International anti-terrorism and piracy ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา นาวาเอก ธนวัฒน์ มีความสนใจศึกษาความรู้ในวิชาแขนงความมั่นคงทางทะเล กฎหมายระหว่างประเทศ และกฎหมายทะเล กรณีศึกษาภัยคุกคามทางทะเลในทุกรูปแบบรวมถึงการศึกษาหาความรู้ด้านความมั่นคงของรัฐในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในยุคสงครามเย็นมาจนกระทั่งปัจจุบัน